หมวด:
|
|
ชั้น:
|
|
อันดับ:
|
|
วงศ์:
|
|
เผ่า:
|
|
สกุล:
|
|
สปีชีส์:
|
H. annuus
|
ทานตะวัน มีชื่อตามภาษาถิ่นพายัพว่า บัวผัด เป็นพืชปีเดียว (Annual
plant) อยู่ในแฟมิลี Asteraceae มีฐานรองกลุ่มดอก (Inflorescence)
ขนาดใหญ่ ลำต้นโตได้สูงถึง 3 เมตร
ฐานรองกลีบดอกอาจกว้างได้ถึง 30 เซนติเมตร
ชื่อ"ทานตะวัน"ถูกใช้อ้างอิงถึงพืชทั้งหมดในสกุล Helianthus ด้วยเช่นกัน
ทานตะวัน
เป็นพืชท้องถิ่นของอเมริกากลาง มีหลักฐานแสดงให้เห็นว่ามีการปลูกดอกทานตะวันในประเทศเม็กซิโกตั้งแต่ประมาณ 2600
ปีก่อนคริสตกาล[1]
ตำนานดอกทานตะวัน
ในเทพนิยายกรีกมีนางไม้ชื่อ Clytie ที่หลงรักเทพอพอลโล ซึ่งเป็นเทพแห่งดวงอาทิตย์
ได้เฝ้ามองอพอลโลทุกวันจนผมสีทองของเธอกลายเป็นกลีบดอกสีเหลืองและใบหน้ากลายเป็นดอกทานตะวัน
ชื่อ Helianthus มาจากคำว่า helios ที่แปลว่าดวงอาทิตย์ กับคำว่า anthos
ที่แปลว่า ดอกไม้ ที่งดงามมาก
การเข้ามาของดอกทานตะวันในประเทศไทย
ดอกทานตะวันเข้ามาในประเทศในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
โดยชาวฝรั่งเศสนำมาปลูก ปัจจุบัน
มีการปลูกทานตะวันเป็นท้องทุ่งจำนวนมากในประเทศไทย
แม้กระทั่งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งมีเนื้อที่ทั้งหมด 10 ไร่ ริมถนนประเสริฐมนูกิจ หลังโรงเรียนสตรีวิทยา 2 เขตลาดพร้าว จนกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว
และนิยมถ่ายรูปที่ได้รับความนิยม
การใช้ประโยชน์
ทานตะวันเป็นพืชให้น้ำมันโดยสกัดจากเมล็ด
น้ำมันดอกทานตะวันมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูงสามารถนำไปใช้ในการฟอกหนังและประกอบอาหาร
ทานตะวันเป็นพืชที่มีบทบาทมากในการฟื้นฟูดิน
ตัวอย่างเช่น ทานตะวันสะสมตะกั่วได้
0.86 mg/kg เมื่อเลี้ยงแบบไฮโดรโพ-นิกส์ และส่งเสริมการย่อยสลายคาร์โบฟูรานได้ 46.71
mg/kg
ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของทานตะวัน
สารสำคัญที่พบได้แก่ Abscisic
acid, Beta-carotene, Citric acid, Coumaric
acid,Cumin alcohol, Cyamidin, Glycoside, Glandulone A, Bgibberellin A, Vanillin, Vitamin B2 ทั้งต้นพบว่ามีสาร Cryptoxanthin, Earotenoids, Globulin, Glycocoll, Quercimeritin, Phospholipid Methionine, Seopoline Heliangine, Tocopherol ส่วนในเมล็ดพบโปรตีน 55%, ออกไซด์คาร์บอเนต 41.6%,
น้ำมันประมาณ 55% และในน้ำมันพบสารLinoleic acid 70%, Glycerol oil, Phosphatide, Phospholipid, B-Sitosterol และพบน้ำมันระเหยอีกหลายชนิด ส่วนเปลือกเมล็ดพบน้ำมัน
5.17%, โปรตีน 4%, ขี้ผึ้ง 2.96%
และยังมี Cellulose, Pentosan, และ Lignin ทานตะวันมีฤทธิ์ลดความดันโลหิตสูง
ยับยั้งการก่อมะเร็ง ช่วยขับปัสสาวะ ช่วยลดไขมันในเลือดสูง
การปลูกต้นอ่อนทานตะวัน
การเตรียมดิน การเตรียมดินก่อนปลูก
ควรไถดินให้ลึกในระดับ 30 เซนติเมตรหรือลึกกว่านั้น
เพราะว่าเมื่อฝนตกดินจะสามารถรับน้ำให้ซึมซับอยู่ในดินได้มากขึ้น
การไถดินลึกจะช่วยทำลายการอัดแน่นของดินในชั้นไถพรวน
ทำให้น้ำซึมลงในดินชั้นล่างได้มากขึ้น ควรกำจัดวัชพืชในแปลงให้สะอาด และไถย่อยดินครั้งสุดท้ายให้ร่วนซุย
หากมีการใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักลงไปพร้อมกับการย่อยดินครั้งสุดท้ายจะช่วยเสริมธาตุอาหารต่าง
ๆ เพื่อให้พืชนำไปใช้ประโยชน์
การปลูก หลังจากเตรียมดินเสร็จแล้ว
ควรทำร่องสำหรับหยอดเมล็ดโดยให้แต่ละร่องห่างกัน 70-75
เซนติเมตร และให้หลุมปลูกในร่องห่างกัน 25-30 เซนติเมตร หยอดหลุมละ 2 เมล็ด
แล้วกลบดินโดยให้เมล็ดอยู่ลึก 5-8 เซนติเมตร
เมื่อพืชงอกได้ 10 วัน หรือมีใบจริง 2-4 คู่ให้ถอนแยกเหลือไว้เฉพาะต้นที่แข็งแรงเพียงหลุมละ 1 ต้น และถ้าหากดินมีความชื้นต่ำควรใช้ระยะปลูกกว้างขึ้น การยกร่องนี้
เพื่อเป็นการสะดวกในการให้น้ำ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปลูกในฤดูแล้งที่ต้องการน้ำมาก ส่วนการปลูกในฤดูฝน
ถ้าเป็นดินที่มีการระบายน้ำดีก็ไม่จำเป็นต้องยกร่องและใช้ระยะปลูกเช่นเดียวกับยกร่อง
การปลูกวิธีนี้ ต้องใช้เมล็ดพันธุ์ลูกผสมจำนวน 0.7 กิโลกรัมต่อไร่
และปลูกตามระยะที่แนะนำนี้จะได้จำนวนต้น 6,400-8,500 ต้นต่อไร่
การใส่ปุ๋ย ทานตะวันเป็นพืชที่ให้โปรตีน
และแร่ธาตุสูง
จึงควรใส่ปุ๋ยในปริมาณที่พืชต้องการตามสภาพดินที่ปลูกด้วยสำหรับปุ๋ยเคมีที่เหมาะสมที่แนะนำคือสูตร
15-15-15 หรือ 16-16-8
อัตรา 30-50 กิโลกรัมต่อไร่ โดยใส่รองพื้นพร้อมปลูกและใช้ปุ๋ยยูเรีย
46-0-0 อัตรา 20-30 กิโลกรัมต่อไร่
เมื่อทานตะวันอายุได้ 30 วัน หรือมีใบจริง 6-7 คู่ ซึ่งเป็นระยะกำลังจะออกดอก หากมีการตรวจวิเคราะห์ดินก่อนปลูก
จะช่วยให้การใช้ปุ๋ยมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นและในกรณีที่เป็นดินทรายและขาดธาตุโบรอน
ควรใส่ผงโบแรกซ์ประมาณ 2 กิโลกรัมต่อไร่
จะทำให้เพิ่มผลผลิตได้มากและทำให้คุณภาพของเมล็ดทานตะวันดีขึ้น
การให้น้ำทานตะวัน น้ำเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีผลกระทบต่อการผลิตทานตะวัน
หากความชื้นในดินมีน้อยก็จะทำให้ผลผลิตลดลงด้วย
การให้น้ำที่เหมาะสมแก่ทานตะวันจึงจะทำให้ได้รับผลผลิตดีด้วย
ดังนั้นการให้น้ำควรปฏิบัติดังนี้ ครั้งที่ 1
หลังจากปลูกเสร็จแล้วรีบให้น้ำทันที หรือควรทำการปลูกทันที
หลังฝนตกเพื่อใช้ความชื้นในดินให้เต็มที่โดยไม่ต้องรดน้ำ ครั้งที่ 2 ระยะมีใบจริง 2 คู่ หรือประมาณ 10-15 วัน หลังงอก ครั้งที่ 3 ระยะเริ่มมีตาดอก
หรือประมาณ 30-35 วัน หลังงอก ครั้งที่ 4 ระยะดอกเริ่มบาน หรือประมาณ 50-55 วัน หลังงอก
ครั้งที่ 5 ระยะกำลังติดเมล็ด หรือประมาณ 60-70 วัน หลังงอก การให้น้ำควรให้น้ำอย่างเพียงพอให้ดินชุ่ม
แต่ไม่ต้องถึงกับแฉะและน้ำขังการให้น้ำควรคำนึงถึงความชุ่มชื้นในดินด้วย
ไม่ควรปล่อยให้ดินแห้งมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงแรกของการเจริญเติบโตจนถึงระยะติดเมล็ด [11]
ทานตะวันกับแสงอาทิตย์
คือ ดอกทานตะวันหันหน้าเข้าหาดวงอาทิตย์
เป็นการตอบสนองแบบ (Positive Phototropism)[12]คือการตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่มากระตุ้นเพียงด้านเดียว
เกิดจากฮอร์โมน ออกซิน (Auxin)[13]เพราะแสงมีอิทธิพลทำให้การกระจายตัวของ(ออกซิน)เปลี่ยนแปลงไปจากปกติ
เมื่อแสงส่องมายังพืช ด้านที่ได้รับแสงจะมีออกซินน้อยเพราะออกซินได้หนีไปอยู่ด้านที่มืดกว่า
ด้านที่มืดจึงมีการยืดตัวและมีการเจริญเติบโตมากกว่าด้านที่รับแสง
ยอดของพืชจึงโค้งเบนเข้าหาแสงจึงดูเหมือนว่าดอกทานตะวันหันหน้ามองพระอาทิตย์อยู่ตลอดเวลา
ซึ่งต่างจากแบบ (Negative Phototropism)[14] ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวหาแสง เช่น หญ้าแพรก (ข้อสังเกต)
ดอกทานตะวันที่มีอายุน้อยจะหันหน้าหาดวงอาทิตย์จริงแต่ดอกทานตะวันที่แก่แล้วหรืออายุมากแล้วจะไม่สนใจดวงอาทิตย์เลย
ยิ่งเป็นดอกที่เหี่ยวแล้วจะไม่หันหน้าไปหาดวงอาทิตย์เลย
นั่นคือวันสุดท้ายที่มันจะยังมีแรงหันหน้าไปหาดวงอาทิตย์ได้
ก้จะเป็นเวลาตอนเย็นกลางคืนทิ้งช่วงไป 12 ชั่วโมง
หลังจากนั้นรุ้งเช้าดอกทานตะวันก็จะไม่หันหน้าหาดวงอาทิตย์อีก
ดอกทานตะวันที่เหี่ยวสวนใหญ่จะหันหน้าไปทาง(ทิศตะวันตก)[15] นอกเสียจากลมจะพัดแรงทำให้หันไปทิศทางอื่น
|
|
วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559
ดอกทานตะวัน
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น